บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 2561 มีกำไรสุทธิ 2,219 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 25 มีสาเหตุหลักมาจากการบันทึกกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งผลการดำเนินงานที่ดีในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น และรับรู้ผลกำไรเต็มปีจากโครงการในประเทศฟิลิปปินส์และประเทศอินโดนีเซีย ทั้งนี้ อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 67 และกำไรต่อหุ้นที่ 1.11 บาท เทียบกับอัตรากำไรสุทธิของปี 2560 ที่ร้อยละ 53.4 และกำไรต่อหุ้นที่ 0.89 บาท พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาทต่อหุ้น รวมจ่ายเงินปันผลทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.64 บาท คิดเป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,278 ล้านบาท

      นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจใน ปี 2561 บริษัทฯ ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการจำหน่ายสินทรัพย์โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่นจำนวน 2 โครงการให้แก่กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) รวมทั้งการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศไทย กำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์ และประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 4 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,320 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่ารายได้จากการดำเนินงานของโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศไทยโดยรวมดีขึ้นจากปี 2560 เล็กน้อย หรือร้อยละ 1 อยู่ที่ 2,869 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินงานของโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ 6 คิดเป็น 451 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการขายสินทรัพย์ของโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานส่งผลให้ไม่มีการบันทึกรายได้ในไตรมาสที่ 4/2561 อย่างไรก็ตาม การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโกเต็มบะในช่วงไตรมาสที่ 2/2561 ช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในปี 2561 ได้ในบางส่วน

       สำหรับ การลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ บริษัทฯ มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานลม (ก่อนการหัก amortization)เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านบาทเป็น 73 ล้านบาท ในปี 2560 มีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มปีเป็นปีแรก เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่มีการรับรู้เพียง 7 เดือน และทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งปี 2561 เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 144 เป็น 46 ล้านหน่วย (ตามสัดส่วนการถือหุ้น) ทั้งนี้ ปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลจากค่าเฉลี่ยชั่วโมงในการผลิตไฟฟ้าต่อวัน (Capacity Factor) ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 37 จากร้อยละ 30 ในปี 2560 โดยปัจจัยสนับสนุนความสามารถในการผลิตไฟฟ้ามาจากความเร็วลมเฉลี่ยที่ดีต่อเนื่อง จากการที่มีพายุพัดผ่านเข้ามายังบริเวณที่ตั้งโครงการ อาทิ ดีเปรสชั่นเขตร้อน มรสุมและไต้ฝุ่นในระหว่างปี

      ในขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย ในปี 2561 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 129 หรือ 761 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานเต็มปีเป็นปีแรก เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่มีการรับรู้เพียง 5 เดือน ซึ่งทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งปี 2561 เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 145 มาอยู่ที่ 1,250 ล้านหน่วย (ตามสัดส่วนการถือหุ้น)        

      ทั้งนี้ ในปี 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,219 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2560 เป็นจำนวน 445 ล้านบาท หรือร้อยละ 25 จาก 1,774 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากการบันทึกกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์เข้า IFF ในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งผลการดำเนินงานของโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ดี โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ ร้อยละ 67 และกำไรต่อหุ้นที่ 1.11 บาท

      ณ สิ้นปี 2561 สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 31,557.9 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2560 ส่วนหนี้สินรวมอยู่ที่ 16,416 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.4 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย โดย ณ สิ้นงวด อยู่ที่ 15,567 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.6 จากสิ้นปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการจ่ายคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน หลังจากการจำหน่ายสินทรัพย์โครงการโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่นเข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในช่วงปลายไตรมาสที่ 3/2561 จำนวน 2,028 ล้านบาท

      สำหรับ ในปี 2562 นี้ บริษัทฯ จะยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์คือโครงการลมลิกอร์ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช (กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์) ในไตรมาสที่ 2/2562 และโครงการมหาวิทยาลัยอัจฉริยะพลังงานสะอาดที่บริษัทได้รับคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้เป็นผู้ติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงอาทิตย์บนพื้นที่หลังคากำลังการผลิตรวม 12 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปลายปี 2562

      ในขณะที่แผนการขยายธุรกิจเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจและผลตอบแทนสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นนั้น บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจพลังงานสะอาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการทำการตลาดกับผู้บริโภครายย่อยโดยตรงมากขึ้น เน้นการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับผู้บริโภคโดยตรง รวมถึงให้บริการการจัดการด้านพลังงานหรือ energy as a service นำนวัตกรรมมาใช้ในธุรกิจเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถผลิตพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตัวเองและประหยัดค่าใช้จ่าย โดยในปีนี้ คาดว่าจะใช้งบลงทุนสำหรับการขยายกิจการใหม่และโครงการที่มีอยู่เดิมรวมทั้งสิ้นประมาณ 8,600 ล้านบาท

       ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ได้มีมติอนุมัติให้เสนอขออนุมัติต่อผู้ถือหุ้นในการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2561 หรือไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท และเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดวันที่ 1 มกราคม - 30 กันยายน 2561 ที่ได้จ่ายไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.48 บาท จะเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2561 รวมอัตราหุ้นละ 0.64 บาท คิดเป็นเงินรวมประมาณ 1,278 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 6 มีนาคม 2562 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2562 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD (Exclude Dividend) ในวันที่ 5 มีนาคม 2562 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ในวันที่ 9 เมษายน 2562 เวลา 13.30 น. ณ อาคารเอ็มทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท

BCPG Announces 2018 Net Profit of 2,219 Million Baht, 25% increase from 2017

       BCPG and its subsidiaries announced their operating results in 2018 with a total net profit of 2,219 Million Baht, a 25% increase from the previous year. The main contributor was the profit from solar assets monetization to an Infrastructure Fund in Japan, along with good performance of solar power plants in Thailand and Japan. The Company’s net profit was approximately 67% with the Earnings per Share of 1.11 Baht per share, compared with the net profit of 53.4% and the 0.89 Baht per share in 2017. In addition, the Company announced dividend payment to the shareholders from the net profit in Q4/2018 at the rate of 0.16 Baht per share, which is equal to 0.64 Baht per share or approximately 1,278 Million Baht in total.

         Mr.Bundit Sapianchai, BCPG President and CEO, said that in 2018, BCPG performed well with a total revenue of 3,320 Million Baht which was enhanced by two major factors; the assets monetization transaction of two solar power plants to an Infrastructure Fund in Japan and the commercial operations of solar power plants both in Thailand and Japan with a total production capacity of 13 MW (9 MW in Thailand and 4 MW in Japan). There was a slight rise in the revenue of solar power plants in Thailand, 2,869 Million Baht or a 1% increase from the last year, while the operations of solar power plants in Japan brought about 451 Million Baht or a 6% decrease compared with the previous year. The decrease was due to the solar assets monetization transaction resulting in no record of revenue in Q4/2018. However, the commercial operation of Gotemba power plant, which started in Q2/2018, helped contribute to total revenue of solar power plants in Japan.

      There was a major increase in share profit of wind power plant in the Philippines (prior to amortization) from 1 Million Baht in 2017 to 73 Million Baht in 2018, resulted from a full profit recognition for the first year (compared with 7-month profit recognition in 2017). Also, the project’s production capacity in 2018 was as high as 46 million units (based on shareholding proportion) or a 144% increase. The increase was a result from the improving capacity factor per day which went up from 30% in 2017 to 37% in 2018. In addition, a tropical depression and a typhoon occurring in the past year created good wind speed which also led to high capacity factor.

       A full-year share profit recognition from geothermal power plants in Indonesia brought the profit of 761 Million Baht to the Company, a 129% increase compared with 5-months profit recognition in 2017. The production output of the project in 2018 also went up to 1,250 million units or a 145% increase (based on shareholding proportion).

       In 2018, the solar asset monetization transaction to an Infrastructure Fund in Japan, as well as robust performance of solar power plants, brought BCPG its record-breaking net profit of 2,219 Million Baht, a rise from 1,774 Million Baht or 25% from the past year. The Company’s net profit was approximately 67% with the Earning per Share of 1.1 Baht per share.

      At the end of Q4/2018, BCPG’s total assets were 31,558 Million Baht, which was stable when compared with those at the end of Q4 last year, while the total liabilities were 16,416 Million Baht, a 7.4% decrease due to a reduction of the interest-bearing debt (15,567 Million Baht as of Q4/2018 or an 8.6% decrease from the last year). The long-term loan repayment after the 2,028 Million Baht solar assets monetization transaction in Japan in Q3/2018 mainly helped reduce the Company’s interest-bearing liabilities.

     Looking ahead in 2019, BCPG is still planning for continuous growth. Production from the wind power plant in Nakhon Sri Thammarat, with a total installed capacity of 10 MW, is planned for Q2/2019, while the “CMU Smart City-Clean Energy”, a 12 MW joint project between BCPG and Chiang Mai University, will start commercial operation towards the end of this year. Committed to deliver high value while creating wealth for shareholders and sustainable future for all, BCPG strives for expansion through clean energy business both domestically and internationally, particularly in Asia-Pacific, as well as focusing more on retail business to produce and deliver clean energy directly to consumers. Additionally, the Company is transitioning into retail market with “energy as a service” models bringing in innovation to provide consumers with options to produce clean energy by themselves at a lower cost. The Company has set aside 8,600 Million Baht investment budget for business expansion and existing projects in 2019.

      The Company’s Board of Directors meeting on 20 February 2019 approved the interim dividend payment to the shareholders from the net profit in Q4/2019 (1 October – 31 December 2018) at the rate of 0.16 Baht per share, combined with the previous interim dividend payment for the past three quarters (1 January – 30 September 2018) of 0.48 Baht per share, the total interim dividend payment for 2018 was 0.64 Baht per share or approximately 1,278 Million Baht. The Company will inform shareholders who have the right to receive dividend the Record Date on 6 March 2019, while the dividend payment date is scheduled for 22 April 2019. The XD (Exclude Dividend) sign will be posted on 5 March 2019 and the Annual General Meeting will take place on 9 April 2019 at M Tower Building from 13.30 hrs.

Click Donate Support Web